แบทแมน ในปี 2005 นับเป็นการเปิดตำนานของมนุษย์ค้างคาวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่วอร์เนอร์ บราเธอร์เคยทำภาพยนตร์ของแบทแมนมามากถึง 4 ภาค แม้ว่าทางสองเรื่องสุดท้ายอย่าง Batman Forever และ Batman and Robin จะโดนวิจารณ์อย่างมากมายก็ตาม กระทั่งการมาของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ได้มาทำภาพยนตร์ไตรภาคของแบทแมนที่มีคริสเตียน เบลมารับบทบรูซ เวย์นพร้อมทั้งนักแสดงชั้นนำมากมายตลอดสามเรื่องนั่นเอง
แบทแมน หรือซุปเปอร์แมนในยุคต่อมากลับไม่ได้เน้นความเป็นมนุษย์อย่างเดิม
แม้ว่าการเล่าเรื่องแบทแมนของทิม เบอร์ตันในปี 1989 และ 1992 จะมีความมืดมนและฉากรุนแรงอยู่มากมาย แต่ทว่าตัวละครต่างๆ ยังคงเดิมตามหนังสือการ์ตูนอยู่มาก ทั้งโจ๊กเกอร์จากฝีมือของแจ๊ค นิโคลสัน แคทวูแมนที่แสดงโดยมิเชล ไฟเฟอร์และเพนกวินที่ถูกถ่ายทอดผ่านแดนนี่ เดวิโต้ที่ได้รับคำชื่นชมจากแฟนๆ และนักวิจารณ์ แต่ทางด้านบทภาพยนตร์จากโนแลนแล้ว เขาได้ตีความไปอีกแบบหนึ่งรวมถึงเพิ่มความมนุษย์มากขึ้น
ด้วยความที่โนแลนชอบทำภาพยนตร์ที่มีการใช้การตีความและลูกเล่นการถ่ายทำอย่างมากจนทำให้เขามีชื่อเสียงในเวลาต่อมา โดยแบทแมนของผู้กำกับชาวอังกฤษจะใช้หลักจิตวิทยาและดำเนินเรื่องเป็นชีวิตจริงมากขึ้น รวมถึงการแสดงของฮีธ เลดเจอร์ที่เป็นโจ๊กเกอร์ฉบับคนที่แฟนบอยชอบกันอย่างมาก รวมถึงฮาร์วี่ เดนท์หรือทูเฟซที่เสียสติจากการสูญเสียคนรักและใบหน้า จึงทำให้แบทแมนทั้งสามภาคนี้เป็นเรื่องราวที่เน้นความสมจริงอย่างมากเลยทีเดียว
ปัญหาที่ตามก็คือสุดท้ายแล้ว แฟนภาพยนตร์ฝั่งดีซีจึงไม่ค่อยยอมรับฮีโร่ในแบบดั้งเดิมที่พวกเขาเคยชม ซึ่งตรงข้ามกับฝั่งมาร์เวลที่เน้นความสนุกและความบันเทิง แต่ทว่าแบทแมนหรือซุปเปอร์แมนในยุคต่อมากลับไม่ได้เน้นความเป็นมนุษย์อย่างเดิมที่พวกเขาต้องการ จนเรียกได้ว่าการมาของโนแลนในโลกการ์ตูนได้ส่งอิทธิพลถึงค่ายดีซีมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ติดตามเว็บไซต์แนะนำหนังน่าดู
ข่าวสารหนังภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก เมื่อโลกถึงคราวอวสาน